วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2559

องค์ประกอบและหลักการทำงานของคอมพิวเตอร์



หลักการทำงานของคอมพิวเตอร์


เมื่อพิจารณาศัพท์คำว่า Computer ถ้าแปลกันตรงตัวตามคำภาษาอังกฤษ จะหมายถึง เครื่องคำนวณ ดังนั้นถ้ากล่าวอย่างกว้าง ๆ เครื่องคำนวณที่มีส่วนประกอบเป็นเครื่องกลไกหรือเครื่องไฟฟ้า ต่างก็จัดเป็นคอมพิวเตอร์ได้ทั้งสิ้น ลูกคิดที่เคยใช้กันในร้านค้า ไม้บรรทัด คำนวณ (slide rule) ซึ่งถือเป็นเครื่องมือประจำตัววิศวกรในยุคยี่สิบปีก่อน หรือเครื่องคิดเลข ล้วนเป็นคอมพิวเตอร์ได้ทั้งหมด


ในปัจจุบันความหมายของคอมพิวเตอร์จะระบุเฉพาะเจาะจง หมายถึง เครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถทำงานคำนวณผลและเปรียบเทียบค่าตามชุดคำสั่งด้วยความเร็วสูงอย่างต่อเนื่องและอัตโนมัติ แต่ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้คำจำกัดความของคอมพิวเตอร์ไว้ค่อนข้างกะทัดรัดว่า "เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เสมือนสมองกล ใช้สำหรับแก้ปัญหาต่าง ๆ ทั้งที่ง่ายและซับซ้อน โดยวิธีทางคณิตศาสตร์"


คุณลักษณะสำคัญของเครื่องคอมพิวเตอร์ มี 4 ประการ คือ
1. ทำงานโดยอัตโนมัติ ถ้าสังเกตการทำงานของคอมพิวเตอร์ จะพบว่า อุปกรณ์ทุกอย่างของคอมพิวเตอร์ทำงานได้เองโดยอัตโนมัติ โดยที่คนไม่ได้เข้าไปควบคุม ไม่ว่าจะเป็นการอ่านข้อมูล การคำนวณ หรือการพิมพ์ผลลัพธ์


2. ทำงานได้อเนกประสงค์ เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานได้อเนกประสงค์ เพราะทำงานได้หลายชนิดขึ้นอยู่กับโปรแกรมที่ใช้ เช่น โปรแกรมเงินเดือน โปรแกรมคิดคะแนนสอบของนักเรียน เป็นต้น


3. เป็นอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ประกอบกันเข้าเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นอุปกรณ์ทางด้าน
อิเล็คทรอนิคส์ทั้งสิ้น เช่น ทรานซิสเตอร์ วงจรไอซี ดังนั้นจึงทำงานด้วยความเร็วสูงมาก


4. เป็นระบบดิจิตอล คำว่า ดิจิตอล (Digital) มาจากคำว่า Digit หมายถึง ตัวเลข เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ ทำงานโดยใช้ระบบตัวเลข ข้อมูลทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นตัวเลข ตัวหนังสือ หรือเครื่องหมายในทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เมื่อส่งเข้าเครื่องรับข้อมูลของคอมพิวเตอร์แล้ว
จะถูกเปลี่ยนเป็นตัวเลขหมด


การทำงานของคอมพิวเตอร์
เครื่องคอมพิวเตอร์มีขั้นตอนการทำงาน 3 ขั้นตอน คือ
1. รับโปรแกรมและข้อมูล โปรแกรมในที่นี้ หมายถึง ชุดของคำสั่งที่จะให้คอมพิวเตอร์ทำงาน ส่วนข้อมูล อาจเป็นตัวเลขหรือตัวหนังสือก็ได้ ที่ต้องการให้คอมพิวเตอร์ทำการประมวลผล

2. การประมวลผล หมายถึง การจัดระเบียบแบบแผนของข้อมูล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ ซึ่งทำได้โดยการคำนวณ
เปรียบเทียบ วิเคราะห์โดยใช้สูตรทางวิทยาศาสตร์ หรือ คณิตศาสตร์ โดยอาศัยคำสั่งหรือโปรแกรมที่เขียนขึ้น

3. แสดงผลลัพธ์ คือ การนำผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลเสร็จเรียบร้อย แสดงออกในรูปแบบต่าง ๆ ที่ผู้ใช้เข้าใจ และนำไปใช้ประโยชน์ได้


องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์
       
         ระบบคอมพิวเตอร์ประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 5 ส่วนด้วยกัน คือ












องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์

1. ฮาร์ดแวร์ (Hardware)
ฮาร์ดแวร์ (Hardware) คือลักษณะทางกายของเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งหมายถึงตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ และ อุปกรณ์รอบข้าง (peripheral) ที่เกี่ยวข้อง เช่น ฮาร์ดดิสก์ เครื่องพิมพ์ เป็นต้น ฮาร์ดแวร์ประกอบด้วย



1 หน่วยรับข้อมูลเข้า (Input Unit)

หน่วยรับข้อมูลเข้า เป็นหน่วยที่ทําหน้าที่รับข้อมูล หรือคําสั่งเข้าสู่คอมพิวเตอร์เพื่อให้คอมพิวเตอร์นําข้อมูล หรือคําสั่งดังกล่าวไปประมวลผลกลางต่อไป ตัวอย่างของอุปกรณ์ที่จัดอยู่ในหน่วยรับข้อมูลเข้าได้แก่


-แป้นพิมพ์ (Keyboard)


-เมาส์ (Mouse)


-ไมโครโฟน (Microphone)


-แสกนเนอร์ (Scanner)


-กล้องดิจิตอล



2 หน่วยประมวลผล (Central Process Unit)
หน่วยประมวลผลกลาง เป็นหน่วยที่สําคัญที่สุด เปรียบได้กับสมองของคอมพิวเตอร์มีหน้าที่ประมวลผลของมูล หรือคําสั่งต่าง ๆ และมีหน้าที่ควบคุมระบบต่าง ๆ ของคอมพิวเตอร์ ให้ทุกหน่วยทํางานสอดคล้องกัน ซึ่งหน่วยประมวลผลการจะประกอบด้วยหน่วยย่อย ๆ ดังต่อไปนี้


หน่วยความจํา (Memory Unit)


รีจิสเตอร์ (Register) คือ หน่วยความจําที่อยู่ภายใน CPU ทําหน้าที่เก็บข้อมูลที่ส่งมาจากหน่วยความจําหลัก และจะนําข้อมูลดังกล่าวไปประมวลผล


รอม (Read Only Memory: ROM) คือ หน่วยความจําหลักชนิดถาวรของคอมพิวเตอร์ทําหน้าที่เก็บคําสั่งต่าง ๆ ไม่สามารถแก้ไข้ข้อมูลในรอมได้ เปรียบได้กับหนังสือที่จะเก็บความรู้ต่าง ๆ เอาไว้


แรม (Random Access Memory: RAM) คือ หน่วยความจําหลักชนิดหนึ่งของคอมพิวเตอร์ทําหน้าที่เก็บข้อมูล หรือคําสั่งต่าง ๆ ที่ใช้ในการประมวลผล สามารถแก้ไขข้อมูลในแรมได้ และข้อมูลจะหายไปเมื่อปิดเครื่อง


คอมพิวเตอร์ เปรียบได้กับกระดาษทดหน่วยคํานวณ และ ตรรกะ (Arithmetic and Login Unit: ALU) เป็นหน่วยที่ทําหน้าที่คํานวณทางด้านคณิตศาสตร์ เช่น บวก ลบ คูณ หาร หรือคํานวณทางตรรกะศาสตร์ เช่น เปรียบเทียบข้อเท็จ เป็นต้น


หน่วยควบคุม (Control Unit) เป็นหน่วยที่ทําหน้าที่ควบคุมการทํางานทุกๆ หน่วยในCPU และอุปกรณ์ต่อพ่วงให้ทํางานได้อย่างสัมพันธ์กัน


3 หน่วยแสดงผล (Output Unit)
หน่วยแสดงผลเป็นหน่วยที่ทําหน้าที่นําผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลกลางไปแสดง
ตัวอย่างอุปกรณ์ที่จัดเป็นชนิดหน่วยแสดงผลได้แก่

-จอภาพ


-เครื่องพิมพ์


-ลําโพง


4 หน่วยเก็บข้อมูลสํารอง (Secondary Storage)
หน่วยเก็บข้อมูลสํารอง คือ สื่อในการเก็บบันทึกข้อมูล เช่น Hard disk, CD-ROM,Tape, Floppy disk เป็นต้น










2. ซอฟต์แวร์ (Software)

     คอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ที่ประกอบออกมาจากโรงงานจะยังไม่สามารถทำงานใดๆ เนื่องจากต้องมี ซอฟต์แวร์ (Software)ซึ่งเป็นชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่สั่งให้ฮาร์ดแวร์ทำงานต่าง ๆ ตามต้องการ โดยชุดคำสั่งหรือโปรแกรมนั้นจะเขียนขึ้นมาจาก ภาษาคอมพิวเตอร์ (Programming Language) ภาษาใดภาษาหนึ่ง และมี โปรแกรมเมอร์ (Programmer) หรือนักเขียนโปรแกรมเป็นผู้ใช้ภาษาคอมพิวเตอร์เหล่านั้นเขียนซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ขึ้นมา









ที่มา : http://prompangm11.blogspot.com

ระบบสื่อสารข้อมูล สำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์



ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์


ความหมาย ระบบการโอนถ่ายข้อมูลหรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างต้นทางหรือปลายทางโดยใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์ โทรสาร โมเด็ม คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์เครือข่ายต่างๆ ดาวเทียม ควบคุมการส่งและการไหลของข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทาง

องค์ประกอบระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์

1.ข่าวสาร (Message) เป็นข้อมูลรูปแบบต่างๆ
2.ผู้ส่งหรืออุปกรณ์ส่งข้อมูล (Sender)
3.สื่อหรือตัวกลาง (Media) เป็นสื่อหรือช่องทาง ที่ใช้ในการนำข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทาง
4.ผู้รับหรืออุปกรณ์รับข้อมูล (Receiver)
5.กฎ ข้อตกลง ระเบียบวิธีการรับส่ง(protocol)


สื่อหรือตัวกลางของระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับคอมพิวเตอร์

1.สื่อหรือตัวกลางประเภทมีสาย
     1.1 สายคู่บิดเกลียว (twisted pair) มี 2 ชนิด คือ
– สายคู่บิดเกลียวไม่มีฉนวนหุ้ม (Unshielded Twisted Pair : UTP)
– สายคู่บิดเกลียวมีฉนวนหุ้ม (Shielded Twisted Pair : STP)

     1.2 สายโคแอกเชียล (Coaxial Cable) เป็นสื่อกลางที่มีส่วนของสายส่งข้อมูล
เป็นลวดทองแดงอยู่ตรงกลาง หุ้มด้วยพลาสติก ส่วนชั้นนอกหุ้มด้วยโลหะ
หรือฟอยล์ถักเป็นร่างแหเพื่อป้องกันสัญญาณรบกวน

     1.3 สายใยแก้วนำแสง (Fiber-optic cable) เป็นสื่อกลางที่ใช้ส่งข้อมูล
ในรูปแบบของแสง

2.สื่อหรือตัวกลางประเภทไร้สาย
   
     2.1 คลื่นไมโครเวฟ (Microwave) เป็นสื่อกลางในการสื่อสารที่มีความเร็วสูง
ส่งข้อมูลโดยอาศัยสัญญาณไมโครเวฟซึ่งเป็นสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
เหมาะกับการส่งข้อมูลในพื้นที่ห่างไกลกันมากๆ หรือพื้นที่ทุรกันดาร

     2.2 ดาวเทียม (Satellite) ในการส่งสัญญาณดาวเทียมนั้น จะต้องมีสถานี
ภาคพื้นดินคอยทำหน้าที่รับและส่งสัญญาณขึ้นไปบนดาวเทียม

     2.3 แอคเซสพอยต์ (Access Point)


ความหมายเครือข่ายคอมพิวเตอร์

      ระบบการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์จำนวนตั้งแต่สองเครื่องขึ้นไป และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่างๆเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและสารสนเทศ รวมถึงใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ร่วมกัน


ประโยชน์ของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
1. การใช้ทรัพยากรร่วมกัน (Resources Sharing) หมายถึง การใช้อุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องพิมพ์ร่วมกัน
2. การแชร์ไฟล์ เมื่อคอมพิวเตอร์ถูกติดตั้งเป็นระบบเน็ตเวิร์กแล้ว การใช้ไฟล์ข้อมูลร่วมกันหรือการแลกเปลี่ยนไฟล์ทำได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
3. สามารถบริหารจัดการทำงานคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องได้จากศูนย์กลาง (Centralized Management)
4. สามารถทำการสื่อสารกันในเครือข่าย (Communication) ได้หลายรูปแบบ
5. มีระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลบนเครือข่าย (Network Security)


ประเภทของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

1. เครือข่ายท้องถิ่น (Local Area Network : LAN)
2. เครือข่ายเมือง (Metropolises Area Network :MAN)
3. เครือข่ายระดับประเทศ (Wide Area Network : WAN)
4. เครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Internet)



รูปแบบการเชื่อมต่อของระบบเครือข่าย(network topology)

1.การเชื่อมต่อเครือข่ายแบบบัส (bus network) เป็นการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ ทุกเครื่องบนสายสัญญาณหลักเส้นเดียว ที่ปลายทั้งสองด้านปิดด้วยอุปกรณ์ที่เรียกว่า Terminator ไม่มีคอมพิวเตอร์เครื่องใด เครื่องหนึ่ง เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมต่อ คอมพิวเตอร์เครื่องใดหยุดทำงาน ก็ไม่มีผลกับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ในเครือข่าย การรับส่งสัญญาณบนสายสัญญาณต้องตรวจสอบสายสัญญาณ BUS ให้ว่างก่อน จึงจะสามารถส่งสัญญาณไปบนสาย BUS ได้

2. การเชื่อต่อเครือข่ายแบบวงแหวน (ring network) การเชื่อมต่อแบบวงแหวน เป็นการเชื่อมต่อจากเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง จนครบวงจร ในการส่งข้อมูลจะส่งออกที่สายสัญญาณวงแหวน โดยจะเป็นการส่งผ่านจากเครื่องหนึ่ง ไปสู่เครื่องหนึ่งจนกว่าจะถึงเครื่องปลายทาง ปัญหาของโครงสร้างแบบนี้คือ ถ้าหากมีสายขาดในส่วนใดจะทำ ให้ไม่สามารถส่งข้อมูลได้

3. การเชื่อมต่อเครือข่ายแบบดาว (Star network) เป็นการเชื่อมต่อสายสื่อสารจากคอมพิวเตอร์หลายๆเครื่องไปยังฮับ (hub) หรือ สวิตช์ (switch) ซึ่งเป็นอุปกรณ์สลับสายกลางแบบจุดต่อจุดเป็นศูนย์กลางของการเชื่อมต่อ วงจรเชื่อมโยงระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ติดต่อสื่อสารถึงกัน

4. เครือข่ายแบบ Hybrid เป็นการเชื่อมต่อที่ผสมผสานเครือข่ายย่อยๆ หลายส่วนมารวมเข้าด้วยกัน เช่น นำเอาเครือข่ายระบบ Bus, ระบบ Ring และ ระบบ Star มาเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน เหมาะสำหรับบางหน่วยงานที่มีเครือข่ายเก่าและใหม่ให้สามารถทำงานร่วมกัน


อุปกรณ์เครือข่าย


1. ฮับ (hub) เป็นอุปกรณ์ที่ทวนและขยายสัญญาณเพื่อส่งต่อไปยังอุปกรณ์อื่นให้ได้ระยะทางที่ยาวไกลขึ้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลก่อนและหลังการรับส่งและไม่มีการใช้ซอฟแวร์ใด ๆ มาเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ชนิดนี้ การติดตั้งทำได้ง่าย

2. โมเด็ม (modem) เป็นฮาร์ดแวร์ที่ทำหน้าที่แปลงสัญญาณอนาล็อก(Analog signal)ให้เป็นสัญญาณดิจิทัล (Digital Signal)และในทางกลับกันก็แปลงสัญญาณดิจิทัลให้เป็นสัญญาณอนาล็อก

3. การ์ด LAN (Network Interface Card – NIC) เป็นการ์ดสำหรับต่อเครื่องพีซีเข้ากับสาย LAN

4. สวิตช์ (Switching) เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่กระจายช่องทางการสื่อสารข้อมูลหลายช่องทางการสื่อสารข้อมูลหลายช่องทางในระบบเครือข่ายคล้ายHubแต่ต่างกันในเรื่องของกรทำงานและความเร็ว คือ แต่ละช่องสัญญาณ (port) จะใช้ความเร็วเป็นอิสระต่อกันตามมาตรฐานความเร็ว

5. เราท์เตอร์ (router) เป็นอุปกรณ์ในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมโยงให้เครือข่ายหลายเครือข่ายที่มีขนาดต่างกันหรือใช้มาตรฐานการส่งผ่านข้อมูล (Transmission) ต่างกันสามารถติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้


โปรโตคอล (Protocol)
       โปรโตคอล คือ ข้อกำหนดหรือข้อตกลงที่ใช้ควบคุมการสื่อสารข้อมูลในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์เครือข่ายที่ใช้โปรโตคอลชนิดเดียวกันซึ่งสามารถติดต่อสื่อสารระหว่างกันได้เหมือนกับมนุษย์ที่ใช้ภาษาเดียวกันในการสื่อสาร เพื่อให้เกิดความเข้าใจร่วมกันนั่นองค์กรที่เกี่ยวข้องได้กำหนดโปรโตคอลที่เรียกว่า         มาตรฐานการจัดการระบบการเชื่อมต่อสื่อสารระหว่างระบบเปิด    (Open System International:OSI)


ชนิดของโปรโตคอล
1.ทีซีพีหรือไอพี (TCP/IP)
2.เอฟทีพี (FTP)
3.เอชทีทีพี (HTTP)
4.เอสเอ็มทีพี (SMTP)
5.พีโอพีทรี (POP3)



การถ่ายโอนข้อมูล

1.การถ่ายโอนข้อมูลแบบขนาน (Parallel transmission)
ทำได้โดยการส่งข้อมูลออกมาทีละ 1 ไบต์ หรือ 8 บิต จากอุปกรณ์ส่งไปยังอุปกรณ์รับ ตัวกลางระหว่างสองเครื่องจึงต้องมีช่องทางให้ข้อมูลเดินทางอย่างน้อย 8 ช่องทาง เพื่อให้กระแสไฟฟ้าผ่านโดยมากจะเป็นสายสัญญาณแบบขนาน ระยะทางของสายสัญญาณแบบขนานระหว่างสองเครื่องไม่ควรยาวเกิน 100 ฟุต

2. การถ่ายโอนข้อมูลแบบอนุกรม (Serial transmission)
     การถ่ายโอนข้อมูลแบบนุกรมอาจจะแบ่งตามรูปแบบรับ-ส่ง ได้ 3 แบบคือ
1) สื่อสารทางเดียว (simplex) ข้อมูลส่งได้ทางเดียวเท่านั้น บางครั้งก็เรียกว่า การส่งทิศทางเดียว (unidirectional data bus) เช่น การส่งข้อมูลไปยังเครื่องพิมพ์ การกระจายเสียงของสถานีวิทยุ เป็นต้น
2) สื่อสารสองทางครึ่งอัตรา (half duplex) ข้อมูลสามารถส่งได้ทั้งสองสถานี แต่จะต้องผลัดกันส่งและผลัดกันรับ จะส่งและรับพร้อมกันไม่ได้ เช่น วิทยุสื่อสารของตำรวจ เป็นต้น
3) สื่อสารสองทางเต็มอัตรา (full duplex) ทั้งสองสถานีสามารถรับและส่งได้ในเวลาเดียวกัน เช่น การสนทนาทางโทรศัพท์เป็นต้น


ที่มา : https://amata20120813914194.wordpress.com

วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

วิธีการใช้ Movie Maker ในการทำ Teaser



1.คลิกที่ปุ่ม "เพิ่มวิดีโอ และรูปถ่าย" จากนั้นวิดีโอและรูปถ่ายที่เราต้องการ ในจำนวนไม่จำกัด


2.เลือกเพลง และวิธีการต่างๆ
    2.1 คลิกเพื่อเลือกเพลงสำหรับวิดีโอนี้
    2.2 คลิกเพื่อเพิ่มชื่อเรื่อง หรือหน้าว่างสำหรับใส่คำ หรือใส่สีให้สวยงาม
    2.3 คลิกเพื่อเพิ่ม คำอธิบายใต้รูปภาพ


3.เพิ่มฟังก์ชั่นสำหรับวิดีโอนี้
   3.1 เลือกช่วงการเปลี่ยนภาพในรูปแบบต่างๆ
   3.2 คลิกที่ปุ่ม "นำไปใช้ทั้งหมด" หมายถึง การที่เราเลือกฟัก์ชั่นการเปลี่ยนภาพนี้ทุกอัน (สำหรับกรณีที่มีหลายวิดีโอหรือหลายภาพ)
   3.3 คลิกเพื่อให้เวลาในการสไลด์


4.คลิกเพื่อกำหนดการเคลื่อนไหวของรูปภาพ เมื่อสไลด์มาถึง เช่น เลือ่นขึ้นบนเรื่อย ลงล่างเรื่อยๆ เป็นต้น

5.เลือกสีของวิดีโอ หรือรูปภาพตามที่เราต้องการ

6. เลือกเอฟเฟ็คขอวิดีโอ
   6.1 กดเมื่อต้องการปรับแต่งเสียง


7. แก้ไขวิดีโอ
   7.1 คลิกเพื่อกำหนดว่า ให้เสียงเบา หรือเพิ่มขึ้น
   7.2 คลิกเพื่อกำหนดความเร็วของวิดีโอ
   7.3 คลิกเมื่อต้องการ ตัด แต่งวิดีโอ (อื่นๆ)

8. บันทึก
   คลิกที่คำว่า File และเลือก บันทึกโครงการ แต่จะเป็นไฟล์ของ Movie Maker หากต้องการบันทึกเป็น Mp4 ให้กดที่ บันทุกภาพยนตร์ และคลิกคำว่าท "เหมาะสำหรับโครงการนี้"

ที่มา Supunsa Kaewlasaeng:http://supunsa-k.blogspot.com/2014/09/movie-maker-teaser.html

Teaser กับ Trailer ต่างกันอย่างไร???



     ความหมายของ Teaser ก็ตรงตามความหมายของคำศัพท์ครับ (ยั่วเย้า) ดังนั้น Teaser ในวงการหนัง จะใช้เรียกสื่อโฆษณาหนังเรื่องนั้นๆในลักษณะ 'สั้น แต่ดึงดูด' ซึ่งมีทั้งใบปิด ที่เป็นภาพของสิ่งของหรืออะไีรก็ตามที่พอจะยั่วน้ำลายคนดูได้ แม้ว่าจะไม่ได้เห็นรายละเอียดส่วนอื่นๆของหนัง (เช่น ดารา) ยกตัวอย่างจากใบปิดทีเซอร์ "Die Another Day" จะเห็นนะครับว่า บนใบปิดไม่มีดาราหรือภาพแอ็กชั่นของตัวละคร แต่คนทำใช้ภาพของปืนบนน้ำแข็งมายั่วยวนคนดู 






และภาพเคลื่อนไหวอย่างตัวอย่างหนัง ตัวอย่างหนังที่เป็นทีเซอร์ จะมีความยาวแบบสั้นๆ แค่นาทีนึง หรือต่ำกว่านั้น จุดประสงค์หลักๆ ก็อย่างที่บอกไปว่า่ มันต้องสั้น ไม่ได้บอกรายละเอียดเกี่ยวกับตัวหนังมาก แต่ชวนดึงดูดให้คนดูร้องซี้ดปาก ยกตัวอย่าง ตัวอย่างทีเซอร์ของ Die Another Day http://www.youtube.com/watch?v=aHuAGozIJuM) ซึ่งมีความยาวแค่ 57 วินาที แต่สามารถกระตุกต่อมความอยากดูได้


    ต่อมาคือ Trailer (เทรลเลอร์)

เป็นภาพยนตร์ตัวอย่างที่มีความยาวมากว่าทีเซอร์ ซึ่งทำให้ผู้สร้าง สามารถอธิบายแนวหนัง , อารมณ์หนัง , พล็อตเรื่องคร่าวๆ , ฉากไฮไลท์ และโฉมหน้าของเหล่านักแสดงเด่นๆในหนังเรื่องนั้นๆได้อย่างเต็มที่ ซึ่งส่วนใหญ่ เทรลเลอร์จะมีความยาวระหว่าง 2-3 นาที ยกตัวอย่างจาก ตัวอย่างหนังฉบับเต็มของ Die Another Day (คลิกดู http://www.youtube.com/watch?v=P0VyXWDrv_Y) มีความยาว 3 นาที บอกเล่าลักษณะสำคัญตามที่ว่าไว้

สำหรับฮอลลีวู้ด เนื่องจากหนังจากที่นี่ กะจะขายในตลาดโลกด้วย ระหว่างการสร้าง ทีมงานจึงจำต้องคอยเลี้ยงความสนใจของคนดูไปเรื่อยๆ ด้วยการส่งทีเซอร์ หรือเทรลเลอร์ หลายตัว ออกมาสู่สายตาคนดู นั่นจึงทำให้หนังเรื่องนึง อาจจะมีตัวอย่างหนังมากกว่า 1 ตัวขึ้นไปครับ (ซึ่งต่างจากหนังไทยที่มักจะมีทีเซอร์ตัวเดียว หรือเทรลเลอร์ตัวเดียว)

    แถมให้อีกอย่างคือ Spot (สปอต) อันนี้เป็นเหมือนตัวอย่างหนัง แต่มีความยาวแบบสั้นๆแค่ 20-30 วินาที (หรืออย่างมากก็ไม้เกินหนึ่งนาที) ออกฉายทางทีวีหรือสื่ออื่นๆ ซึ่งด้วยความแพงของค่าเช่าเวลา จึงทำให้มันสั้นๆแบบนั้นแหละครับ (คลิกดูตัวอย่าง http://www.youtube.com/watch
v=laPB2HVVSRw)


อ้างอิง : http://pantip.com/topic/30859743

วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมสำหรับการถ่ายวีดีโอในทุกสถาการณ์



อุปกรณ์ที่เตรียมไปด้วยนั้นหลักๆ คือ



1. กล้องวีดีโอ 1 ตัว บางครั้งจะติดเผื่อไป 2 ตัว กล้องตัวหนึ่งจะตั้งบนขาตั้งกล้อง อีกตัวเผื่อจะเอาไปถ่ายช็อต insert ในช่วงกิจกรรมสำคัญ และอย่าลืมเตรียมแบตเตอรี่สำรองไปด้วย เพราะบางทีกิจกรรมอาจจะกินเวลานาน และเราไม่มีเวลาที่จะมารอชาร์ตแบตเตอรี่ ชาร์ตแบตให้เต็ม เคลียเมม(โมรี่)ให้พร้อมเสมอ



2. ขาตั้งกล้อง บางครั้งเจอวิวสวยๆ เช่น ดอกไม้ สัตว์ต่างๆ แม่น้ำ สิ่งพวกนี้เวลาถ่ายจำเป็นต้องใช้ขาตั้งกล้อง เพราะส่วนมากเราจำเป็นต้องซูมเข้าไป ยิ่งซูมมากเท่าไรกล้องวีดีโอก็จะยิ่งสั่นมากขึ้นเท่านั้น หรือในกรณีที่เราถ่ายงานกิจกรรม เราอาจจำเป็นต้องตั้งกล้องเพื่อเก็บภาพบรรยากาศในมุมกว้าง และใช้กล้องอีกตัวถ่ายเก็บรายละเอียดของกิจกรรม



3. ไฟติดหัวกล้อง เวลาไปถ่ายในสถานที่ที่เป็น indoor เช่น ในบ้านหรือในห้อง แสงสว่างที่มีจะไม่ค่อยเพียงพอ ทำให้เวลาถ่ายวีดีโอแล้วภาพจะมีสีซีด เนื่องจากว่ากล้องต้องปรับความสว่างเพิ่มขึ้นซึ่งส่งผลให้สีของภาพจะจืดลงไป สำหรับการถ่าย ไฟติดหัวกล้องที่ผมเลือกพกติดไปเป็นแบบ LED เนื่องจากมีน้ำหนักเบา ขนาดเล็กเหมาะกับการพกพา ใช้ถ่านเป็นแบตเตอรี่อยู่ได้หลายชั่วโมง แต่ข้อเสียก็คือความสว่างที่ได้จะน้อยกว่าไฟติดหัวกล้องชนิด halogen ที่ใช้แบตเตอรี่ (จากในรูปจะเห็นว่าต้องพกแบตเตอรี่ที่ใส่ในกระเป๋าเขียวไปด้วย ซึ่งมีน้ำหนักมาก)



4. เครื่องอัดเสียงแบบพกพา สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับผม เพราะการทำให้เสียงดังฟังชัดยากกว่าการตกแต่งวีดีโอให้สวยงาม ถ้าเราเลือกใช้เสียงที่ได้จากไมโครโฟนภายในกล้องวีดีโอ แน่นอนว่าเสียงที่เราได้ยินในวีดีโอจะมีเสียงรบกวนมากมาย ทำให้คำพูดดีๆที่ออกมาจากคนที่เรารัก ฟังไม่รู้เรื่อง เราอาจจะเลือกใช้ไมโครโฟนแบบมีสายต่อจากกล้องวีดีโอ ไมโครโฟนแบบนี้จะไม่สะดวกในเรื่องสาย เพราะมันจะทำให้เกะกะ



ผมเลือกใช้เครื่องอัดเสียงแบบไร้สายโดยให้คนถือแบบไมโครโฟน บันทึกเสียงลงการ์ดหน่วยความจำ แล้วเอาเสียงที่ได้มา sync ให้ตรงกับวีดีโอในขั้นตอนตัดต่อ ฟังดูแล้วอาจจะยุ่งยากนิดนึง แต่ข้อดีของมันก็คือ ไม่เกะกะ ราคาไม่แพง และมีคุณภาพดี มีราคาตั้งแต่สองพันกว่าบาทขึ้นไป ไม่ต้องกังวลเรื่องพอร์ตเชื่อมต่อของกล้องวีดีโอว่าจะมี audio input ให้หรือเปล่า เพราะใช้วิธีถือเอาหรือสอดเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ ส่วน wireless microphone ย่าน UHF แบบที่มีคุณภาพดี ผมคิดว่าราคาสูงเกินไปครับ เหมาะกับการลงทุนไปถ่ายงานให้ลูกค้ามากกว่าครับ





อุปกรณ์ต่างๆที่ผมได้แนะนำไป ถ้าเพื่อนๆคนไหนไม่มีอุปกรณ์ชิ้นไหน ก็อาจจะต้องใช้วิทยายุทธเพิ่มเติมในการประยุกต์วิธีการถ่ายให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมในขณะนั้น ซึ่งผมจะได้แนะนำวิธีการดังต่อไปนี้ครับ

1. ไม่มีกล้องถ่ายวีดีโอ เราอาจจะใช้โทรศัพท์มือถือช่วยถ่ายวีดีโอได้ ผมเพิ่งได้มีโอกาสถ่ายวีดีโอด้วยไอโฟน ต้องยอมรับเลยว่าไฟล์วีดีโอทีได้ มีความคมชัดสูงไม่แพ้กล้องถ่ายวีดีโอรุ่นทั่วๆไปเลย เพียงแต่การถือกล้องอาจจะไม่สะดวกเหมือนกล้องวีดีโอ หรือถ้าใครไม่มีไอโฟนอาจจะใช้โทรศัพท์รุ่นอื่นๆแทนได้ครับ เพราะเดี๋ยวนี้โทรศัพท์มือถือแทบทุกรุ่นจะมีกล้องวีดีโอติดมาด้วย และความคมชัดก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานทั่วๆไป หรือถ้ามีงบประมาณไม่มากอาจจะลองเลือกซื้อกล้องวีดีโอมือสอง ซึ่งมีราคาถูกกว่ามือหนึ่งประมาณ 30-60% ซึ่งผมได้เคยแนะนำวิธีการเลือกซื้อกล้องวีดีโอมือสองเอาไว้แล้วครับ





2. ไม่มีขาตั้งกล้อง ในกรณีที่เราขี้เกียจแบกขาตั้งกล้องไปแต่เราอยากจะได้วีดีโอแบบนิ่งๆ อันดับแรกให้เราเปลี่ยนวิธีการถ่าย เช่น จากการยืนถ่ายแบบธรรมดา ให้หาต้นไม้หรือกำแพงที่เราสามารถพิงได้ เอาข้อศอกทั้งสองข้างชิดแนบกับหน้าอกทั้งสองข้าง กลั้นหายใจแล้วถ่าย จะช่วยลดการสั่นไหวไปได้ในระดับหนึ่ง



เราอาจจะนั่งชันเข่าใช้หัวเข่าช่วยในการวางกล้อง ก็สามารถช่วยลดการสั่นไหวของกล้องได้ ถ้ามีเก้าอี้อยู่ใกล้ๆก็ใช้พนักเก้าอี้ช่วยในการวางท่อนแขนได้เหมือนกัน





ส่วนถ้าในกรณีที่เราไม่มีขาตั้งกล้อง แต่อยากจะตั้งกล้องไว้เพื่อถ่ายเป็นมุมกว้างเก็บบรรยากาศระหว่างกิจกรรม เราอาจจะต้องหาผู้ช่วยอีกคนมาถือกล้องแทนเรา โดยให้เขานั่งถ่ายเพราะจะได้ไม่เมื่อยและลดการสั่นของกล้อง บอกให้เขาถือเอาไว้อย่างเดียวคอยดูเฉพาะตำแหน่ง composition ในเฟรม ส่วนเราก็จะถ่ายเก็บรายละเอียดในส่วนอื่นๆเพื่อเอามา insert ในตอนตัดต่อวีดีโอภายหลัง



3. ไม่มีไฟติดหัวกล้อง การถ่ายวีดีโอถ้าขาดไฟเหมือนขาดใจ เพราะภาพที่ได้จะมีสีซีด มี noise เต็มไปหมด วิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในกรณีที่เราถ่ายงาน indoor คือ พยายามเปิดไฟทุกดวงที่อยู่ในห้องนั้น เปิดผ้าม่านและหน้าต่างเพื่อให้แสงลอดเข้ามา แต่ต้องระวังเรื่องการย้อนแสงด้วย



สำหรับการถ่ายวีดีโอ outdoor ไฟติดหัวกล้องอาจจะไม่จำเป็นเท่าไร แต่ให้เราระวังเรื่องการถ่ายวีดีโอย้อนแสง พยายามหันแบบไปในทิศทางเดียวกับแสง หลีกเลี่ยงการถ่ายในที่แสงจัด พยายามหาร่มเงาจากต้นไม้ช่วย



4. ไม่มีเครื่องอัดเสียง วิธีแก้ปัญหาที่ง่ายที่สุด คือ เราต้องพยายามอยู่ใกล้แหล่งกำเนิดเสียงให้มากที่สุด ถ้าถ่ายในบ้านอาจจะต้องหมุนพัดลมไปในทิศทางอื่น เพราะเสียงจากลมน่ารำคาญมาก หรือถ้าเรามีโทรศัพท์มือถือที่มีฟังก์ชั่นบันทึกเสียงได้ เราก็อาจแปลงร่างโทรศัพท์ให้กลายเป็นไมโครโฟนชั่วคราวได้เหมือนกัน คนไหนที่จะพูดอวยพรเราก็ยื่นโทรศัพท์ให้พูดได้เลยครับ แรกๆคนพูดอาจจะมีงงครับ อิอิ…. ส่วนการถ่ายในสถานที่ outdoor ปัญหาของเสียงก็หนีไม่พ้นลมเหมือนเดิมครับ อาจจะหาโฟมหรือกระดาษแผ่นใหญ่ๆมาช่วยบังลมขณะสัมภาษณ์ อาจจะหาสถานที่เงียบๆในป่า ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เราเจอในตอนนั้นว่าเป็นอย่างไร



อ้างอิง: http://www.xn--l3cdl7ac1a7b0al6ab0nxc.com/

ความรู้พื้นฐานในการสร้างการสร้างวีดีโอ


การสร้างวีดีโอ

     การสร้างคลิปวีดีโอนั้น แม้ว่าเรามาภาพต้นฉบับดีๆ วีดีโอสวยๆ มีเสียงเพลงเพราะๆ มีคอมพิวเตอร์และโปรแกรมที่ดี ก็ใช่ว่าเราจะสร้างงานออกมาแล้วจะดีไปด้วย ความน่าสนใจของคลิปวีดีโอ ต้องอาศัยจินตนาการ, ความคิดสร้างสรรค์ ในทุกๆ ขั้นตอนของกระบวนการ"ผลิต" โดยหลักการทางทฤษฎีแล้วประกอบด้วย 3 ขั้นตอน หรือ 3 P

- Pre-Production คือ การเตรียมการก่อนการผลิต
- Production คือ การดำเนินการถ่ายทำ
- Post-Production คือ การตัดต่อและการนำเสนอ

ดังนั้น การจะสร้างงานออกมาให้ดีและเป็นที่น่าสนใจ เราจำเป็นต้องเตรียมการในเรื่องเหล่านี้
- Concept & Theme
- Script & Story Board

Concept & Theme
     เป็นการกำหนดแนวคิดและทิศทางของคลิปวีดีโอเรา รวมถึงรูปแบบในการนำเสนอ เช่น คลิป"ส่งเสริมการปั่นจักรยานเพื่อการท่องเที่ยว" มี Concept คือ ต้องนำเสนอความสนุกสนานในการปั่นจักรยานไปท่องเที่ยวสถานที่ต่างๆ ดังนั้น Theme ของเรื่องนี้ก็คือ สถานที่และเส้นทาง ที่สวยงาม ... ซึ่งจะส่งผลต่อ Script และ Storyboard จะต้องดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน

Script
     สคริปต์ หรือ บท คือรายละเอียดของตัวละคร, ฉาก, มุมกล้อง, การตัดต่อ, ตัวหนังสือ, เสียงประกอบ ... ฯลฯ ทุกอย่างต้องระบุในสคริปต์ทั้งหมด เพื่อให้ได้ผลลัพท์ตามที่ต้องการ

Story board
    ตามหลักการของการสร้างภาพยนตร์ เป็นภาพวาดแบบร่าง ที่สร้างขึ้นจากสคริปต์ หากระบุรายละเอียดได้มาก การทำงานจะสะดวกมากขึ้น
     ในทางอุตสาหกรรมภาพยนตร์ จะสร้างเป็นภาพเคลื่อนไหวแบบ 3D-Animation บันทึกเสียงประกอบแบบภาพยนตร์จริงๆ
     ... แต่สำหรับระดับเราๆ สร้างคลิปวีดีโออัพขึ้น Youtube คงไม่ต้องถึงขนาดนั้น

     เอาแบบง่ายๆ ก็คือภาพ sketch ใน shot ต่างๆ พร้อมคำบรรยาย หรือ บทสนทนา เป็นการช่วบลำดับเหตุการณ์

ตารางสำหรับบันทึก story board

ส่วนประกอบของ Story Board
  • ตัวละคร / ฉาก / เรื่องราว
  • มุมกล้อง
  • เสียง / คำบรรยาย
  • เวลา

ตัวอย่าง Story Board

ประโยชน์ของ Story Board
  • ช่วยควบคุมเรื่องราวให้อยู่ใน Concept ที่วางไว้
  • ลำดับเหตุการณ์ก่อน-หลัง
  • ทราบเวลาที่ใช้คร่าาวๆ

ดังนั้นพอสรุปขั้นตอนคร่าวๆ ได้ดังนี้
  1. กำหนด Theme
  2. เขียนเรื่องย่อ
  3. กำหนดตัวละคร / ฉาก
  4. เขียนบท
  5. เขียน Story Board 
  6. ถ่ายทำ -> ภาพนิ่ง/วีดีโอ
  7. ตัดต่อ -> Sony vegas
  8. นำเสนอผลงาน --> Youtube




อ้างอิง : http://www.tigersmile.net/2014/10/blog-post.html

วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ขั้นตอนในการตัดต่อวีดีโอ


ขั้นตอนการตัดต่อวีดีโอโดยโปรแกรมUlead







เมื่อเปิด project ใน Ulead แล้ว ในขั้นตอน Capture นี้ คุณสามารถที่จะบันทึกวีดีโอจากกล้องวีดีโอดิจิตอล
เป็นไฟล์ลงในคอมพิวเตอร์ได้ วีดีโอที่บันทึกจากกล้องลงคอมพิวเตอร์นั้น สามารถที่จะบันทึกเป็นไฟล์เพียงไฟล์
เดียว หรือให้แยกเป็นไฟล์ได้หลายๆ ไฟล์โดยอัตโนมัติ และในขั้นตอนการจับภาพนี้ นอกจากคุณจับภาพวีดีโอแล้วยังสามารถที่จะบันทึกภาพจากวีดีโอเป็นภาพนิ่งได้อีกด้วย



ขั้นตอนการแก้ไขและ Timeline นี้ เป็นจุดสำคัญของการใช้ Ulead VideoStudio ในขั้นตอนนี้คุณสามารถที่
จะเรียงลำดับคลิปวีดีโอ ที่ถ่ายมาแต่ไม่ได้เรียงลำดับเหตุการณ์กัน ก็มาเรียงลำดับเหตุการณ์ในขั้นตอนนี้ หรือแทรกคลิปวีดีโออื่นๆ เข้ามาในกระบวนการตัดต่อ เช่น หลังจากที่คุณจับภาพมาจากกล้องแล้ว เห็นว่าคลิปวีดีโอที่มีอยู่ในเครื่อง เหมาะสม น่าที่จะนำมาแทรกในบางช่วงของวีดีโอที่คุณกำลังตัดต่อ ก็สามารถทำได้ กรณีที่มีคลิปวีดีโอเพียงไฟล์เดียว เช่น จับภาพวีดีโอมาเป็นไฟล์เดียว ไม่ได้แยกไฟล์เป็นหลายๆ ส่วน ก็สามารถตัดแยก scene วีดีโอได้ เพื่อใส่เอ็ฟเฟ็กต์ระหว่าง scene ลบคลิปวีดีโอที่ไม่ต้องการออก ตัดคลิปวีดีโอบางส่วนที่ถ่ายเสียหรือไม่ต้องการออกและการใส่วีดีโอฟิลเตอร์ (เช่น การใส่ตัวฟิลเตอร์ฝนตกในคลิปวีดีโอ ทำให้คลิปวีดีโอนั้นดูเหมือนมีฝนตกจริงๆ ) ก็สามารถทำได้ในขั้นตอนนี้เช่นกัน



ในขั้นตอนนี้ ให้คุณสามารถใส่ทรานสิชั่น (transition) ระหว่างคลิปวีดีโอใน project ซึ่งใน Ulead นี้จะมี
กลุ่มของทรานสิชั่นต่างๆ ให้เลือกอย่างมากมายใน Library
ทรานสิชั่น เป็นเอ็ฟเฟ็กต์ที่ใส่ไว้ในระหว่างคลิป ทำให้วีดีโอดูน่าสนใจยิ่งขึ้น เช่น ฉากที่ค่อยๆ จางหายไป
จนมืด แล้วก็มีฉากถัดไปที่จางแล้วค่อยๆ ชัดเจนขึ้น หรือ ในระหว่างที่มีการเปลี่ยนฉากนั้น จะมีภาพซ้อนกันของทั้งสองฉาก เป็นต้น นี่เป็นการใส่ทรานสิชั่นนั่นเอง



ขั้นตอนนี้เป็นการซ้อนคลิปวีดีโอบนคลิปวีดีโอที่มีอยู่ เหมือนกับที่เราดูโทรทัศน์ ที่มีการสัมภาษณ์บุคคล
เกี่ยวกับดารา แล้วก็มีกรอบเล็กๆ เป็นภาพของดาราที่กำลังดูบุคคลอื่นพูดถึงตนเองอยู่



ใส่ตัวหนังสือในวีดีโอ เช่น ชื่อเรื่องวีดีโอ แสดงชื่อบุคคล หรือตัวหนังสือปิดท้ายวีดีโอ ใครถ่ายทำ ถ่าย
เมื่อไหร่ ที่ไหน เป็นต้น สามารถที่จะสร้างตัวหนังสือแบบเคลื่อนไหวได้ มีมากมากหลายแบบ เช่น ตัวหนังสือลอย
จากจอภาพด้านล่างขึ้นไปด้านบน เหมือนกับตัวหนังสือเมื่อดูภาพยนตร์ตอนจบ หรือจะวิ่งจากด้านขวามือมาซ้ายมือหรือจะเลือกชุดสำเร็จรูปจาก Library ก็ได้



ขั้นตอนนี้สำหรับใส่ดนตรีประกอบวีดีโอ สามารถเลือกเพลงจากแผ่น CD แล้วบันทึกมาเป็นไฟล์ทำดนตรี
ประกอบได้ บันทึกเสียงบรรยายวีดีโอ รวมทั้งการปรับแต่งเสียงต่างๆ เช่น ลดเสียงในวีดีโอต้นฉบับในบางช่วง
ขณะที่บันทึกเสียงบรรยายลงไป เพื่อให้ได้ยินเสียงบรรยายชัดเจนมากยิ่งขึ้น หรือปรับระดับเสียงของดนตรี
ประกอบ เป็นต้น



ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนสุดท้าย เมื่อตัดต่อวีดีโอเสร็จแล้ว ก็จะเป็นสร้างไฟล์วีดีโอสำหรับเผยแพร่ผลงาน
สามารถทำได้หลายแบบ เช่น สร้างไฟล์วีดีโอสำหรับเผยแพร่ผลงานบนเว็บ เขียนวีดีโอที่ตัดต่อเสร็จแล้วกลับลง
เทปอีกครั้ง เขียนลงแผ่น CD เป็น VCD หรือเขียนลง DVD

Menu Bar
แถบเมนูนี้ เป็นที่รวมของคำสั่งต่างๆ มากมาย



File menu
- New Project: สร้างไฟล์โครงการของ Ulead VideoStudio ใหม่ จะล้างพื้นที่ทำงานที่มีอยู่และเปิดโครงการใหม่ด้วยการตั้งค่าตามที่ระบุไว้ ในกรอบโต้ตอบ New ถ้าคุณมีโครงการที่ยังไม่ได้บันทึก เปิดไว้ในพื้นที่
ทำงาน เมื่อคุณคลิก New Project Ulead VideoStudio จะมีข้อความแจ้งให้คุณบันทึกงานก่อน


-Open Project: เรียกกรอบโต้ตอบ Open เพื่อเลือกไฟล์โครงการของ Ulead VideoStudio (VSP) เพื่อแทนที่ในพื้นที่ทำงาน ถ้าคุณมีโครงการที่ยังไม่ได้บันทึก เปิดใช้งานอยู่ในพื้นที่ทำงาน จะมีข้อความปรากฏให้คุณ
บันทึกการเปลี่ยนแปลงก่อน

-Save/Save As: อนุญาตให้คุณบันทึกงานของคุณเป็นโครงการใหม่หรือโครงการที่มีอยู่แล้ว (*.VSP).
โปรแกรมจะเปิดกรอบโต้ตอบ Save As ให้คุณกำหนดเส้นทางและชื่อไฟล์ที่จะบันทึก

-Project Properties: แสดงกรอบโต้ตอบ Project Properties ที่มีข้อมูลเกี่ยวกับไฟล์ที่กำ
ลังเปิดอยู่ ตรงนี้ คุณสามารถที่จะแก้ไขแอททริบิวส์เทมเพลตของไฟล์โครงการได้

-Preferences: เปิดกรอบโต้ตอบ Preferences ที่คุณสามารถปรับแต่งสภาพแวดล้อมการทำงานของ Ulead
VideoStudio ได้ (See “Preferences: File menu”)

-Relink: แสดงกรอบโต้ตอบ Relink แจ้งให้คุณทำการเชื่อมโยงซ้ำคลิกที่เลือกไว้เมื่อมีความจำเป็น ถ้าคุณ
ย้ายโฟลเดอร์ที่มีไฟล์ต้นแบบไปยังไดเร็คทอรี่อื่น เลือก Smart search ในกรอบโต้ตอบ Relink เมื่อคุณทำ
การเชื่อมโยงรูปภาพเล็ก (thumbnail) ซ้ำอีกครั้ง Ulead VideoStudio จะทำการเชื่อมโยงซ้ำไฟล์ต้นแบบทุก
ไฟล์ในไดเร็คทอรี่โดยอัตโนมัติ

-Insert Media File to Timeline: แสดงป๊อบ-อัพเมนูที่อนุญาตให้คุณค้นหาวีดีโอ, DVD/DVD-VR, รูปภาพ,
หรือเสียง, และจากนั้นจึงแทรกเข้าไปในแทร็ค
-Insert Media File to Library: แสดงป๊อบ-อัพเมนูที่อนุญาตให้คุณได้เลือกวีดีโอ, DVD/DVD-VR, ภาพ,
หรือเสียงแล้วแทรกไปไว้ใน Library

-Exit: ปิดโปรแกรม Ulead VideoStudio แสดงกรอบข้อความให้คุณบันทึกโครงการที่ทำงานอยู่ ในกรณีที่
คุณยังไม่ได้บันทึกโครงการ

Edit menu



 Undo: ย้อนกลับการกระทำที่ผ่านมาที่คุณได้กระทำในโครงการของคุณ Ulead VideoStudio อนุญาตให้คุณ
ย้อนกลับการทำงานล่าสุดได้ถึง 99 ครั้ง จำนวนของขั้นตอนที่คุณยกเลิกกระทำ ขึ้นอยู่กับการตั้งค่าที่คุณได้
ระบุไว้ในแท็บ General ในเมนู File: Preferences (See “General tab”)

 Redo: อนุญาตให้คุณย้อนกลับคำสั่ง ยกเลิกทำ ได้ถึง 99 ครั้งที่คุณได้กระทำมา คุณสามารถกำหนดจำนวน
ขั้นตอนการทำซ้ำได้ ขึ้นอยู่กับการตั้งค่าที่คุณได้ระบุไว้ในแท็บ General ใน เมนู File: Preference

Copy: คัดลอกคลิปสื่อที่ได้เลือกไว้ไปยังคลิปบอร์ด ดังนั้นจึงสามารถที่จะวางไว้ในโฟลเดอร์ไลบรารี่ได้

Paste: วางคลิปสื่อที่ได้คัดลอกไว้ไปยังโฟลเดอร์ไลบรารี่ที่เลือกไว้

Delete: ลบคลิกที่เลือกไว้ออกจากแทร็ค/โฟลเดอร์ไลบรารี่ที่เลือกไว้

Clip menu



Change Image/Color Duration: เปิดกรอบโต้ตอบ Duration ที่คุณสามารถเปลี่ยนความยาวของคลิป
Mute: ปิดเสียงของคลิปวีดีโอ. ตัวเลือกนี้ เหมาะสำหรับการประยุกต์ใส่ดนตรีประกอบไปยังคลิปที่ระบุ
Fade-in: ค่อยๆ เพิ่มเสียงของคลิปจากเงียบไปจนถึงดังสุด
Fade-out: ค่อยๆ ลดเสียงของคลิปจากดังสุดไปจนถึงเงียบสุด
Cut Clip: ตัดคลิปวีดีโอหรือเสียเป็นสองคลิป ด้วยการเลือกคลิปแล้ว ย้าย Jog Slider ที่อยู่ใต้หน้าต่างพรีวิว
ไปยังจุดที่คุณต้องการตัดคลิป
Multi-trim Video: เปิดกรอบโต้ตอบ Multi-trim Video คุณสามารถเลือกตัดส่วนไฟล์วีดีโอที่ต้องการ
หรือไม่ต้องการออก ได้หลายๆ ส่วนให้เหลือเฉพาะส่วนที่ต้องการ
Split by Scene: เปิดกรอบโต้ตอบ Scenes ที่คุณสามารถแยกไฟล์วีดีโอโดยอาศัยหลักการของเนื้อหาของ
เฟรมหรือวันที่บันทึกภาพ เป็นตัวแยกไฟล์วีดีโอออกเป็น scene ตัวเลือกนี้สามารถใช้ได้กับคลิปที่อยู่ใน
ไลบรารี่ได้ คือแม้เป็นไฟล์วีดีโอที่รวม scene มาแล้วก็สามารถใช้คำสั่งนี้แยกได้เหมือนกัน
Save Trimmed Video: ตัดส่วนที่เลือกไว้และบันทึกเป็นไฟล์วีดีโอใหม่ หลังจากการตัดวีดีโอแล้ว รูปภาพ
เล็กของไฟล์วีดีโอใหม่จะปรากฏในไลบรารี่
Save as Still Image: บันทึกเฟรมปัจจุบันไปหน้าต่าง Preview Window เป็นรูปภาพใหม่. ภาพขนาดเล็ก
ของรูปภาพใหม่นี้จะปรากฏอยู่ใน Library.
Export: จัดเตรียมหลายๆ ทางเลือกในการส่งออกและเผยแพร่หนังของคุณ:
Ulead DVD DiskRecorder: อนุญาตให้คุณบันทึกหรือเพิ่มวีดีโอของคุณไปยังอุปกรณ์ที่สนับสนุน DVDRAM
(ใช้ฟอร์แมต DVD-VR ) หรือ DVD-R.
DV Recording: เปิดกรอบโต้ตอบอนุญาตให้คุณส่งตรงและบันทึกข้อมูลวีดีโอไปยังกล้องถ่ายวีดีโอ
ดิจิตอล หรืออุปกรณ์บันทึก DV อื่นๆ
Web Page: อนุญาตให้คุณใส่คลิปหรือไฟล์หนังบนเว็บเพจ
E-mail: เปิดโปรแกรมรับส่งอีเมล์ (เช่น Outlook Express) และแนบคลิปวีดีโอหรือไฟล์หนังที่เลือกไว้
Greeting Card: เปิดกรอบโต้ตอบอนุญาตให้คุณสร้างการ์ดอวยพรแบบสื่อผสมโดยใช้คลิปหรือไฟล์หนัง
ที่คุณเลือกไว้
Movie Screen Saver: บันทึกคลิปที่เลือกไว้เป็น screen saver บนเดสค์ทอป. คุณสามารถส่งออกเฉพาะ
ไฟล์ WMV เป็น screen saver เท่านั้น
Properties: แสดงข้อมูลเกี่ยวกับคลิปที่เลือกไว้

Tools menu



VideoStudio DV-to-DVD Wizard: เปิด DV to DVD Wizard ที่อนุญาตให้คุณจับภาพวีดีโอจากกล้องถ่าย
วีดีโอดิจิตอล (DV camcorder) แล้วเขียนลงแผ่นดิสก์


VideoStudio Movie Wizard: เปิด Movie Wizard ที่อนุญาตให้คุณสร้างหนังได้อย่างรวดเร็ว (See “Movie
Wizard”)


Create Disc: อนุญาตให้คุณนำออกโครงการของคุณ (พร้อมกับโครงการของ VideoStudio หรือวีดีโอ
อื่นๆ) เพื่อสร้าง VCD, SVCD, หรือ DVD


Select Device Control: เปิดกรอบโต้ตอบที่คุณสามารถตั้งการควบคุมอุปกรณ์ได้ ส่วนนี้จะอนุญาตให้คุณ
ได้ควบคุมอุปกรณ์กล้องวีดีโอดิจิตอลโดยใช้ Navigation Panel.


Change Capture Plug-in: แสดงกรอบโต้ตอบ Change Capture Plug-in ที่อนุญาตให้คุณเลือก plug-in
สำหรับ capture driver.

Batch Convert: เปิดกรอบโต้ตอบ Batch Convert ที่คุณสามารถเลือกวีดีโอหลายๆ ไฟล์ที่มีฟอร์แมต
แตกต่างกันและแปลงเป็นไฟล์วีดีโอฟอร์แมตเดียวกัน


Full Screen Preview: แสดงขนาดพรีวิวที่แท้จริงของโครงการของคุณโดยใช้จอ PC or จอ TV ส่วนนี้จะ
พบในขั้นตอน Capture และ Share
 Save Current Frame as Image: บันทึกเฟรมปัจจุบันในหน้าต่างดูภาพ (preview) เป็นภาพนิ่งเก็บไว้ใน
Library
 Make Movie Manager: สร้างและจัดการ template ที่บรรจุข้อมูลทุกอย่าง (ฟอร์แมตไฟล์, ระดับเฟรม
(frame rate), การบีบอัด เป็นต้น) ที่ต้องการเพื่อสร้างไฟล์วีดีโอจากโครงการ. หลังจากที่คุณสร้าง template,
เมื่อคุณคลิกสร้างไฟล์วีดีโอในขั้นตอน Share จะมีตัวเลือกให้คุณได้ใช้ template นั้น
 Preview Files Manager: เปิดกรอบโต้ตอบ Preview Files Manager , แสดงรายชื่อไฟล์พรีวิวทั้งหมดที่
สร้างในโครงการ.คุณสามารถเลือกลบไฟล์พรีวิวได้,
 Library Manager: อนุญาตให้คุณสร้างโฟลเดอร์ใน Library ได้
 Product Codec Information: เปิดกรอบโต้ตอบที่คุณสามารถดู codec ของ Ulead ที่ได้ติดตั้งไว้แล้ว หรือ
ซื้อ codec จาก Ulead
 Smart Download: เปิดกรอบโต้ตอบที่คุณสามารถดาวน์โหลดส่วนประกอบสำหรับ VideoStudio.
 Print Options: เปิดกรอบโต้ตอบที่คุณสามารถระบุการตั้งค่าสำหรับการพิมพ์ภาพนิ่ง

Help menu



 Ulead VideoStudio Help: แสดงความช่วยเหลือเกี่ยวกับ Ulead VideoStudio.
 Online Registration: เปิดหน้าเว็บลงทะเบียนออนไลน์ของ Ulead VideoStudio ในเบราเซอร์
 Product Updates on the Web: เปิดหน้าเว็บเบราเซอร์โดยอัตโนมัติและนำคุณไปยังเว็บไซต์ของ Ulead
เพื่อลงทะเบียนออนไลน์
 About Ulead VideoStudio: แสดงรุ่นของโปรแกรมและข้อมูลลิขสิทธิ์

Options Panel

Options Panel นี้จะเปลี่ยนไปตามโหมดของโปรแกรมและขั้นตอนหรือแทร็คที่คุณกำลังทำงานอยู่ เช่น คุณ
เลือกคลิปวีดีโอ ก็จะมีตัวเลือกอีกอย่าง เมื่อเลือกรูปภาพ ก็จะมีตัวเลือกอีกอย่าง Options Panel อาจจะมีเพียงแท็บเดียวหรือสองแท็บก็ได้ การควบคุมและตัวเลือกในแต่ละแท็บแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับคลิปที่คุณเลือก



Navigation Panel

Navigation Panel นี้เป็นส่วนสำหรับควบคุมต่างๆ แยกหน้าที่ตามโหมดของการทำงาน Navigation Panel
ใช้สำหรับดูภาพและแก้ไขคลิปในโครงการ ใช้ Navigation Controls เลื่อนไปมาทั้งในคลิปหรือโครงการ ใช้ Trim Handles และ Jog Slider ในการแก้ไขคลิป เมื่อจับภาพวีดีโอจากกล้องวีดีโอดิจิตอล Navigation Controls ใช้สำหรับควบคุมอุปกรณ์ ใช้ปุ่มต่างๆ เพื่อควบคุมกล้องวีดีโอดิจิตอล หรืออุปกรณ์อื่นๆ



1 Play Mode
เลือกว่าคุณจะดูวีดีโอ (preview) ทั้งโครงการหรือว่าเฉพาะคลิปที่เลือก
2 Play
ดูวีดีโอทั้งโครงการปัจจุบันหรือว่าคลิปที่เลือกไว้, หยุดชั่วขณะ หรือว่าดูวีดีโอต่อ
3 Home
กลับไปที่เฟรมแรกของวีดีโอ
4 Previous
ถอยกลับไปยังเฟรมที่แล้ว
5 Next
ไปยังเฟรมถัดไป
6 End
ไปยังเฟรมสุดท้ายของวีดีโอ
7 Repeat
กำหนดให้เล่นซ้ำ
8 System Volume
คลิกแล้วลากตัวเลื่อนเพื่อปรับความดังของเสียงลำโพง
9 Timecode
คุณสามารถไปยังส่วนต่างๆ ของโครงการหรือคลิปที่เลือกไว้ได้อย่างง่ายดาย เพียงระบุเวลาของคลิปตรง
จุดนี้
10 Mark-in/out
ใช้ปุ่มเหล่านี้ในการกำหนดขอบเขตของการพรีวิวในโครงการ, หรือกำหนดจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของ
คลิป
11 Jog Slider
ใช้เลื่อนไปมาทั้งในโครงการหรือคลิปเพื่อดูเฟรม ณ ตำแหน่งของ Jog Slider หรือใช้สำหรับกำหนดจุดตัด
คลิปออกเป็นส่วนๆ
12 Trim Handles
ใช้สำหรับกำหนดขอบเขตของการพรีวิวในโครงการ หรือกำหนดขอบเขตของคลิปที่จะเหลือไว้ใช้งาน
13 Cut Clip
ใช้สำหรับตัดคลิปที่เลือกออกเป็น 2 ส่วน เลื่อน Jog Slider ไปยังจุดที่คุณต้องการตัด จุดนี้เป็นเฟรมสุดท้าย
ของคลิปแรกและเป็นเฟรมแรกของคลิปที่สอง แล้วคลิกที่ปุ่มกรรไกรนี้ คลิปจะแยกออเป็น 2 ส่วน
14 Enlarge Preview Window
คลิกเพื่อขยายขนาดของหน้าต่างดูภาพ (preview) คุณสามารถดูได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่สามารถแก้ไข
คลิปได้เมื่อหน้าต่างดูภาพขยายใหญ่

การควบคุมกล้องวีดีโอดิจิตอลด้วย Navigation Panel
เมื่อจับภาพจากกล้องวีดีโอดิจิตอล ใช้ Navigation Panel กรอเทปและหาตำแหน่งของ scene ที่ต้องการจับ
ภาพ



1 Shuttle Control
ลาก Shuttle Control เพื่อกรอเทปไปข้างหน้าและหลังตามระดับความเร็วที่มีอยู่ เป็นการค้นหา scene ใน
วีดีโอที่ต้องการดูได้อย่างรวดเร็ว
2 Play
เล่นเทป/หยุดเล่นเทปชั่วขณะ
3 Stop
หยุดเล่นเทป
4 Rewind
กรอกลับเทป
5 Preview Frame
ถอยหลังทีละเฟรม
6 Next Frame
ไปข้างหน้าทีละเฟรม
7 Forward
กรอเทปไปข้างหน้า
8 System Volume
คลิกและลาก slider เพื่อปรับความดังเสียงของลำโพง

Project Timeline

Project timeline อยู่ด้านล่างของหน้าต่าง VideoStudio Editor ใช้สำหรับตัดต่อวีดีโอ โปรดศึกษา
รายละเอียดต่างๆ ที่อยู่ในส่วนนี้ให้เข้าใจ เพราะเป็นส่วนสำคัญในการตัดต่อวีดีโอ เมื่อเข้าใจเครื่องมือต่างๆ ดีแล้ว จะทำให้สามารถตัดต่อวีดีโอได้อย่างรวดเร็ว ใน Project timeline ประกอบไปด้วย Storyboard, Timeline, และ Audio View. คลิกที่ปุ่มด้านซ้ายของ project timeline เพื่อสลับไปยังส่วนประกอบอื่นๆ



Storyboard View
Storyboard View เป็นหนทางที่เร็วที่สุดและง่ายที่สุดในการเพิ่มคลิปวีดีโอหรือทรานสิชั่น เข้ามาใน
โครงการเพื่อทำการตัดต่อ รูปภาพขนาดเล็กแต่ละรูปใน storyboard เป็นภาพเฟรมแรกของคลิปวีดีโอ ทำให้เรา ทราบเกี่ยวกับเหตุการณ์แต่ละช่วงของวีดีโอ หรือเป็นภาพของทรานสิชั่น ระยะเวลาของแต่ละคลิปจะแสดงอยู่ที่ ด้านล่างของภาพขนาดเล็ก



ใน Storyboard นี้ คุณสามารถแทรกหรือเรียงลำดับคลิปวีดีโอได้โดยการลากแล้ววาง เช่น ลากคลิปวีดีโอ
จากไลบรารี่มาแทรกใน Storyboard เพื่อตัดต่อ กรณีที่มีคลิปเป็นจำนวนมาก มีการเรียงลำดับเหตุการณ์ไม่ถูกต้อง คุณก็สามารถลากคลิปวีดีโอเพื่อเรียงลำดับให้ถูกต้องตามที่ต้องการได้ ลบคลิปที่ไม่ต้องการออกจาก Storyboard สามารถแทรกเอ็ฟเฟ็กต์ทรานสิชั่น เข้าไประหว่างคลิปวีดีโอได้

คุณสามารถกำหนดขอบเขตของคลิปวีดีโอที่เลือกได้จากหน้าต่างพรีวิว หมายถึง การกำหนดขอบเขตของ
วีดีโอจากคลิปที่เลือกให้มีระยะเวลาสั้นลงโดยไม่ต้องทำการตัดต่อ คือ คลิปวีดีโอมีความยาว 1 นาที แต่เราสามารถ กำหนดขอบเขตเป็น เริ่มต้นวินาทีที่ 20 ถึงวินาทีที่ 40 เมื่อนำไปสร้างเป็นไฟล์วีดีโอ ข้อมูลของคลิปวีดีโอนี้ก็จะถูก นำไปเขียนเป็นไฟล์วีดีโอตั้งแต่วินาทีที่ 20 ถึงวินาทีที่ 40 เท่านั้น (ภาษาอังกฤษเรียกว่า trim) รวมทั้งยังสามารถลาก คลิปวีดีโอไปวางในไลบรารี่เพื่อไว้นำกลับมาใช้ในภายหลังได้อีกด้วย



คลิกปุ่มเพื่อขยายการแสดงผล storyboard ให้เต็มหน้าจอภาพ ด้วยพื้นที่ที่ใหญ่ขึ้นนี้ ทำให้คุณสามารถที่จะเรียงลำดับคลิปวีดีโอ และใส่ทรานสิชั่นระหว่างคลิปวีดีโอได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้แล้วยังมีจอภาพขนาดเล็กที่ด้านล่างของหน้าต่างที่ช่วยให้คุณสามารถดูคลิปวีดีโอได้

Timeline View

Timeline View แสดงให้คุณเห็นถึงมุมกว้างของส่วนต่างๆ ในโครงการ แยกโครงการออกเป็นแทร็คของ
วีดีโอ, overlay, ตัวหนังสือ, เสียงบรรยายและดนตรีประกอบ Timeline View ช่วยให้คุณตัดต่อวีดีโอได้อย่างถูกต้อง แม่นยำยิ่งขึ้น เพราะว่าจะเห็นทุกแทร็ค จะตัดต่อส่วนใด ก็เลือกแทร็คที่ต้องการแล้วทำการตัดต่อ



1 Zoom controls
อนุญาตให้คุณเปลี่ยนการเพิ่มขึ้นของ timecode ใน Timeline ruler เมื่อคุณเลื่อนตัวเลื่อน จะทำให้ระยะห่าง
ของเวลาเปลี่ยนไป
2 Ripple Editing
Enable/Disable Ripple Editing. When enabled, allows you to select which tracks to apply it to.
3 Track buttons
คลิกปุ่มเพื่อสลับไปมายังแทร็คอื่นๆ
4 Insert media files
แสดงเมนูให้คุณเลือกเพื่อแทรกคลิปวีดีโอ, เสียงหรือภาพเข้ามาในโครงการเพื่อทำการตัดต่อ หรือหากมี
คลิปวีดีโอ,เสียงหรือภาพอยู่ในไลบรารี่อยู่แล้วก็สามารถใช้ลากเข้ามาในโครงการแทนก็ได้
5 Timeline scroll control
เปิด/ปิดการเลื่อน Timeline เมื่อมีการดูคลิปที่เกินคลิปปัจจุบันที่กำลังดูอยู่ เมื่อคุณคลิกคลิปวีดีโอที่ต้องการ
ดูภาพแล้วต้องการดูวีดีโอไปเรื่อยๆ จนจบ หากปิดตัวเลือกนี้ โปรแกรมจะแสดงภาพวีดีโอไปเรื่อยๆ แต่
ไม่ได้มีการเลื่อน Timeline ดังนั้นคลิปวีดีโอเริ่มต้นที่คุณคลิกเลือกก็จะแสดงอยู่ในหน้าต่าง Timeline โดย
ไม่มีการเลื่อน แต่หากคุณเปิดตัวเลือกนี้ โปรแกรมจะแสดงคลิปวีดีโอใน Timeline เลื่อนไปเรื่อยๆ ตาม
คลิปวีดีโอที่ได้แสดงในหน้าต่างพรีวิว
6 Project scroll controls
ใช้ปุ่มซ้ายและขวา หรือลาก Scroll Bar เพื่อเลื่อนไปยังส่วนต่างๆ ของโครงการ เช่น อยู่ที่คลิปต้นๆ ของ
โครงการ หากต้องการไปยังส่วนกลาง หรือคลิปท้ายๆ ของโครงการ ก็ให้ลาก Scroll Bar เพื่อไปยังส่วนที่
ต้องการ
7 Selected range
แถบสีนี้แทนส่วนของคลิปหรือโครงการที่ได้กำหนดขอบเขต (trim) หรือที่ถูกเลือกไว้
8 Timeline ruler
เป็นบรรทัดแสดงเวลาของโครงการ ในรูปแบบ ชั่วโมง : นาที : วินาที.เฟรม ซึ่งช่วยคุณกำหนดความยาว
ของคลิปและโครงการ
9 Video Track
บรรจุไปด้วยคลิปวีดีโอ ภาพ สี และทรานสิชั่น
10 Overlay Track
บรรจุคลิป overlay ซึ่งจะเป็นคลิปวีดีโอ ภาพหรือสี
11 Title Track
บรรจุคลิปของตัวหนังสือ
12 Voice Track
บรรจุคลิปเสียงบรรยาย
13 Music Track
บรรจุคลิปดนตรีจากไฟล์เสียง
14 Fit Project in Timeline Window
ขยายหรือย่อการแสดงคลิปทั้งหมดในโครงการให้พอดีกับหน้าต่าง Timeline กรณีที่คุณเคยย่อการแสดงผล
ไว้ หรือมีการขยายการแสดงผลคลิปต่างๆ ใน Timeline ไว้ เมื่อคลิกปุ่มนี้ จะเป็นการแสดงคลิปทั้งหมดให้
พอดีกับหน้าต่าง Timeline

การสลับไปยังแทร็คอื่นๆ :
 คลิกปุ่มใน Step Panel ที่มีลักษณะตรงกันกับแทร็ค เช่น ถ้าต้องการไปยังแทร็คเสียงก็คลิกปุ่ม Audio ใน
Step Panel
 คลิกปุ่มแทร็ค
 ดับเบิ้ลคลิกแทร็คที่ต้องการ หรือคลิกคลิปบนแทร็ค
Audio View
Audio View อนุญาตให้คุณปรับระดับเสียงของคลิปวีดีโอ เสียงบรรยายและดนตรีประกอบ



คลิปที่มีเสียงบรรจุอยู่จะถูกแสดงพร้อมกับ volume rubber band (ดูภาพประกอบ) ที่คุณสามารถคลิกและ
ลากเพื่อปรับระดับเสียงได้ อยากให้เสียงตรงส่วนใดดังกว่าปกติ ก็คลิกบนเส้นแล้วลากขึ้นด้านบน หรือต้องการ
เสียงเบาลง ก็ให้คลิกเส้นแล้วลากลง
ใน Audio View ส่วน Options Panel จะแสดง Audio Mixing Panel ที่ใช้ปรับระดับเสียงของแทร็ควีดีโอ,
Overlay, เสียงบรรยาย และดนตรีประกอบ



Library
ไลบรารี่เป็นที่ที่เก็บทุกๆ อย่างที่คุณต้องการนำไปสร้างวีดีโอของคุณ ไม่ว่าจะเป็น คลิปวีดีโอ ตัวกรอง
วีดีโอ เสียง ภาพนิ่ง เอ็ฟเฟ็กต์ทรานสิชั่น ดนตรีประกอบ ตัวหนังสือและคลิปสี สิ่งเหล่านี้รวมๆ กันแล้วเรียกว่า
มีเดียคลิป (media clip)



ไลบรารี่จะอยู่ด้านขวามือของหน้าต่าง VideoStudio Editor การเก็บคลิปต่างๆ ไว้ในไลบรารี่ ทำให้สะดวก
เมื่อต้องการนำคลิปมาใช้ในการตัดต่อวีดีโอ

การเพิ่มคลิปเข้าในไลบรารี่
เป็นการเพิ่มมีเดียคลิปต่างๆ เก็บไว้ในไลบรารี่เพื่อสะดวกในการเรียกใช้งานในภายหลัง ก่อนที่จะเพิ่มนั้น
จะต้องเลือกกลุ่มของไลบรารี่ ว่าจะเพิ่มอะไรเข้าไป



หากจะเพิ่มคลิปวีดีโอเข้าไป ก็จะต้องเลือกกลุ่ม Video ก่อน จากนั้นคลิกที่รูปโฟลเดอร์ เลือกคลิปวีดีโอที่
ต้องการเพิ่มเข้าไปในไลบรารี่ แล้วกดปุ่ม Open คลิปวีดีโอที่เลือกก็จะปรากฏอยู่ในไลบรารี่ในกลุ่ม Video

กรณีที่ทำการตัดต่อวีดีโออยู่ใน Storyboard ก็สามารถลากคลิปที่ตัดต่อแล้ว มาวางไว้ในไลบรารี่ได้ เพื่อใช้
ในโอกาสถัดไป ตราบเท่าที่ยังไม่ได้ลบไฟล์ต้นฉบับออก เช่น มีคลิปวีดีโอขนาด 90 นาที ตัดออกเป็นสองส่วน 60 นาทีกับ 30 นาที เพื่อนำไปเขียนลง CD หลังจากตัดเสร็จแล้ว ให้ลากส่วนที่ 2 เก็บไว้ในไลบรารี่ ลบส่วนที่ 2 ออก เขียนส่วนที่ 1 เสร็จแล้ว สร้างโครงการใหม่ ลากไฟล์ส่วนที่ 2 ที่เก็บไว้ในไลบรารี่มาใส่ใน Storyboard แล้วนำไป เขียนลง CD ก็จะทำให้ส่วนทั้ง 2 มีความต่อเนื่องกัน



การคลิกขวาบนคลิปต่างๆ ในไลบรารี่ก็จะมีตัวเลือกอื่นๆ อีกหลายอย่าง เช่น การคลิกขวาบนคลิปวีดีโอ ก็
จะมีเมนูให้เลือกว่าจะแทรกเข้าไปใน Video Track หรือ Overlay Track หรือการดูคุณสมบัติของคลิกนั้น ๆ เป็นต้น

การเรียกใช้คลิก ให้ลากคลิปที่ต้องการไปวางใน Timeline หรือหากต้องการดูคลิปใดๆ ให้คลิกบนคลิปที่
ต้องการดู แล้วคลิกปุ่ม Play ใน Navigation Panel



การเลือกคลิปหลายๆ คลิปพร้อมๆ กัน ให้กดปุ่ม Ctrl หรือ Shift บนแป้นพิมพ์ค้างไว้แล้วคลิกเลือกคลิป
ตามที่ต้องการ

การลบคลิปจากไลบรารี่
ในกรณีที่ไม่ต้องการคลิปในไลบรารี่ ก็สามารถลบออกได้



คลิกขวาบนคลิปที่ไม่ต้องการแล้วเลือก Delete หรือ คลิกบนคลิปแล้วกดปุ่ม Delete บนแป้นพิมพ์



เมื่อปรากฏตอบโต้ตอบ ให้คลิกปุ่ม OK เพื่อทำการลบออกจากไลบรารี่

การเรียงลำดับคลิป



การเรียงลำดับคลิปในไลบรารี่ ให้คลิกเมนู Options แล้วเลือกการเรียงลำดับตามต้องการ การสลับการ
เรียงลำดับไปมาระหว่างจากน้อยไปหามาก หรือจากมากไปหาน้อยนั้น ให้ทำการเลือกการเรียงซ้ำ คือเมื่อเรียงลำดับ จากน้อยไปหามาก เมื่อเลือกซ้ำอีกครั้งจะเป็นการเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย

ปกติแล้วคลิปวีดีโอจะเรียงตามวันที่ขึ้นอยู่กับฟอร์แมตของไฟล์ ไฟล์ .avi ที่จับภาพมาจากกล้องวีดีโอจะ
เรียงตามวันที่และเวลาของการบันทึกเทป ส่วนฟอร์แมตไฟล์วีดีโออื่นๆ จะเรียงตามลำดับของวันที่ของไฟล์

การจับภาพ

เสียบสายเคเบิ้ลเข้ากับคอมพิวเตอร์และกล้องวีดีโอดิจิตอลให้เรียบร้อย แล้วเปิดกล้องในโหมด VCR เปิด
โปรแกรม Ulead โปรแกรมจะเปิดหน้าต่างในขั้นตอน Edit ให้คลิกที่ปุ่ม Capture เพื่อทำการจับภาพจากกล้องวีดีโอ



หลังจากที่คลิกปุ่ม Capture แล้ว ให้คลิกที่ Capture Video



โปรแกรมจะแสดงหน้าต่างจับภาพ ด้านซ้ายของหน้าต่างเรียกว่า Options Panel ส่วนแสดงภาพเรียกว่า
หน้าต่างพรีวิว ด้านขวาเรียกว่าไลบรารี่ ส่วนด้านล่างเแสดงข้อมูลต่างๆ ของวีดีโอ (ดูเพิ่มเติมใน “ส่วนติดต่อกับ
ผู้ใช้”)



ส่วน Options Panel
 Duration ตั้งระยะเวลาของการจับภาพ
 Source อุปกรณ์จับภาพวีดีโอและรายชื่ออุปกรณ์จับภาพอื่นๆ ที่ติดตั้งในเครื่องคอมพิวเตอร์
 Format รูปแบบไฟล์ของวีดีโอที่จะจับภาพและบันทึกในคอมพิวเตอร์
 Split by scene บันทึกไฟล์วีดีโอที่จับภาพแยกไฟล์กัน แยกตามการกดปุ่มบันทึกและหยุดบันทึก หากไม่
กำหนด โปรแกรมจะบันทึกไฟล์วีดีโอเป็นไฟล์เดียว (คุณลักษณะนี้ใช้ได้เฉพาะการจับภาพจากกล้องวีดีโอ
ดิจิตอลเท่านั้น)
 Capture folder โฟลเดอร์ที่เก็บไฟล์วีดีโอ
 Options แสดงเมนูให้คุณได้ปรับแต่งค่าการจับภาพ
 Capture Video จับภาพจากกล้องวีดีโอบันทึกลงในฮาร์ดดิสก์
 Capture Image จับภาพเฟรมของวีดีโอที่แสดง เป็นภาพนิ่ง
 Disable Audio Preview ปิดเสียงขณะที่ทำการจับภาพ โดยไม่มีผลการเสียงในวีดีโอที่จับ



ในการจับภาพวีดีโอนี้ คุณอาจจะทำการตั้งเวลาในการจับภาพได้ เช่น ต้องการจับภาพเพียง 20 นาทีเท่านั้น
ให้ป้อนเลขระยะเวลาของการจับภาพในช่อง Duration เมื่อถึงเวลาที่กำหนดโปรแกรมจะหยุดจับภาพเองโดย
อัตโนมัติ ช่อง Source เมื่อคุณต่อสายเคเบิ้ลและเปิดกล้องวีดีโอ ชื่อกล้องวีดีโอก็จะปรากฏในช่องนี้ หรือหากติดตั้ง การ์ดจับภาพอยู่ ก็จะปรากฏรายชื่อในชอง Source นี้เหมือนกัน

ช่อง Format เลือกรูปแบบไฟล์วีดีโอที่คุณต้องการบันทึก หากต้องการจับภาพบันทึกเป็นไฟล์ .avi ให้เลือก
รายการ DV หากต้องการบันทึกเป็นไฟล์ MPEG-1 เมื่อจับภาพเสร็จก็สามารถนำไปเขียนเป็น VCD ได้ ให้เลือก
VCD



ส่วนของ Information จะแสดงข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับการจับภาพ ไฟล์ที่จะบันทึกต่อไปเป็นไฟล์ชื่ออะไร
ความละเอียด ชนิดอะไร ระบบไหน เป็นต้น



ในตัวอย่างต่อไปนี้ เป็นการตั้งค่าการจับภาพเป็นแบบ DV และเลือกให้มีการแยกไฟล์ตาม scene โดยการ
ทำเครื่องหมายถูกหน้า Split by scene การจับภาพแบบแยก scene นี้ ช่วยให้คุณสามารถที่จะจัดลำดับของคลิปวีดีโอ เรียงตามเหตุการณ์ หรือลบทิ้งคลิปที่ไม่ต้องการได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น รวมทั้งใส่เอ็ฟเฟ็กต์ทรานสิชั่นในระหว่าง คลิปได้อย่างง่ายโดยที่ไม่ต้องมาแยก scene ใหม่

จากข้อมูลใน Information จะสังเกตุเห็นว่า DV type จะเป็น Type-1 อยู่ แต่ต้องการจะเปลี่ยนเป็น Type-2
ให้คลิก Options แล้วเลือก Capture Options เพื่อตั้งค่าตัวเลือกในการจับภาพ



ทำเครื่องหมายถูกหน้า Capture to Library (เป็นค่าเริ่มต้นของโปรแกรม) การเลือกตัวเลือกนี้ เป็นการจับ
ภาพแล้วให้นำภาพขนาดเล็ก (thumbnail) ของวีดีโอที่จับ เก็บไว้ในไลบรารี่ด้วย ประโยชน์ของการที่เก็บภาพไว้ใน ไลบรารี่ก็คือ ทำให้คุณทราบว่าได้มีการจับภาพวีดีโออะไรมาบ้าง และหากคุณต้องการนำคลิปวีดีโอนั้นมาตัดต่อ ก็เพียงแต่คลิกลากไฟล์วีดีโอที่อยู่ในไลบรารี่มาใส่ใน Timeline เท่านั้น



คลิก Options แล้วเลือก DV Type… คลิกเลือก DV type-2 คลิกปุ่ม OK



หลังจากที่เลือกชนิดวีดีโอเป็น type-2 แล้วข้อมูลในส่วน Information ก็จะเปลี่ยนตาม



เมื่อตั้งค่าต่างๆ เสร็จแล้ว คลิกที่รูปกล้องหน้า Capture Video เพื่อเริ่มขั้นตอนจับภาพจากกล้องบันทึกเป็น
ไฟล์ลงคอมพิวเตอร์



ภาพหน้าจอขณะที่โปรแกรมกำลังจับภาพ



ขณะที่กำลังจับภาพอยู่นั้น หากต้องการปิดเสียงวีดีโอที่กำลังจับภาพอยู่ ให้คลิกที่ Disable Audio Preview
การปิดเสียงนี้ไม่มีผลต่อเสียงที่บันทึกลงไฟล์วีดีโอ เมื่อต้องการหยุดการจับภาพ ให้คลิกรูปกล้องหน้า Stop Capture

หากมีการตั้งเวลาจับภาพ (กำหนดระยะเวลาจับภาพในช่อง Duration) เมื่อถึงระยะเวลาที่กำหนด โปรแกรม
จะหยุดจับภาพโดยอัตโนมัติ



หลังจากที่หยุดจับภาพแล้ว ให้บันทึกโครงการนี้ไว้ เพื่อเปิดตัดต่อในภายหลัง โดยไม่ต้องเลือกไฟล์เพิ่มใน
Timeline เพื่อตัดต่ออีก

เลือกเมนู File -> Save แล้วตั้งชื่อไฟล์โครงการ



ชื่อไฟล์โครงการที่ได้ตั้งไว้

การบันทึกโครงการนี้ หากคุณจับภาพเสร็จและปิดโปรแกรม ก็จะปรากฏกรอบโต้ตอบถามถึงการบันทึก
โครงการเช่นกัน

หมายเหตุ : การจับภาพแบบ DV Type-1 หรือ DV Type-2 (จากกล้องวีดีโอดิจิตอล) หรือจับภาพแบบ
MPEG (จากกล้องดิจิตอลหรือจากอุปกรณ์อนาล็อก) จะมีข้อจำกัดเรื่องขนาดไฟล์ที่ 4 GB ใน Windows 98 SE และMe ที่ใช้ระบบไฟล์เป็น FAT 32 ขณะที่จับภาพ เมื่อขนาดไฟล์มีขนาดใหญ่กว่า 4 GB โปรแกรมจะสร้างไฟล์ใหม่ให้โดยอัตโนมัติ ส่วนใน Windows 2000 และ Windows XP ที่ใช้ระบบไฟล์เป็น NTFS ไม่มีขีดจำกัดเรื่องขนาดไฟล์ในการจับภาพ

การจับภาพแบบแบ่งไฟล์เมื่อมีขนาดเกินนี้ จะใช้ไม่ได้กับการจับภาพแบบ VFW (Video For Windows)
และโปรแกรม Ulead VideoStudio นี้จะตรวจสอบระบบไฟล์และทำการจับภาพแบบแบ่งไฟล์เมื่อมีขนาดใหญ่เกินข้อจำกัดโดยอัตโนมัติ และจะทำได้เฉพาะในไฟล์ระบบที่เป็น FAT 32 เท่านั้น

Effect

Transition effect เป็นเอฟเฟ็กต์ที่ใส่ในระหว่างคลิปวีดีโอ ช่วยให้การเปลี่ยนภาพระหว่างคลิปวีดีโอมีความ
แปลก น่าสนใจ ซึ่งใน Ulead นี้ มีเอฟเฟ็กต์ต่าง ๆ ให้เลือกมากมาย

คลิกที่แท็บ Effect





ส่วนนี้คือรายการเอฟเฟ็กต์ต่าง ๆ





ด้านบนของรายการเอฟเฟ็กต์ก็คือหมวดหมู่ของเอฟเฟ็กต์ต่าง ๆ เมื่อเลือกแล้ว ด้านล่างก็จะแสดงรายการ
เอฟเฟ็กต์ตามหมวดหมู่นั้น ๆ





ปกติแล้วเอฟเฟ็กต์ ต่าง ๆ จะแสดงรูปแบบการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ทำให้เราสามารถเห็น
รูปแบบของเอฟเฟ็กต์แต่ละอย่างได้ แต่เราก็สามารถคลิกบนเอฟเฟ็กต์ที่ต้องการให้แสดงภาพใหญ่ได้ โดยคลิกบนรายการเอฟเฟ็กต์ที่ต้องการ แล้วคลิกปุ่ม Play เราก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงของเอฟเฟ็กต์ขนาดใหญ่

ในรายการเอฟเฟ็กต์นั้น A คือคลิปวีดีโอแรก B คือคลิปวีดีโอที่สอง เมื่อคลิกปุ่ม Play จะเห็นความ
เปลี่ยนแปลงจาก A เป็น B ซึ่งแต่ละเอฟเฟ็กต์จะมีรูปแบบแตกต่างกันออกไป เมื่อนำไปแทรกระหว่างคลิปวีดีโอ
การเปลี่ยนแปลงระหว่างคลิปก็จะมีรูปแบบเดียวกับ Effect ที่เลือก





รูปวงกลมนั้นคือ ตัวอย่างช่องว่างระหว่างคลิปวีดีโอ ที่เราจะนำเอฟเฟ็กต์มาใส่





การใส่เอฟเฟ็กต์ คลิกบนรายการเอฟเฟ็กต์ที่ต้องการ (1) แล้วลากมาวางในระหว่างคลิปวีดีโอ (2) คลิกปุ่ม
Play (3) เพื่อทดสอบเอฟเฟ็กต์ดูว่าผลได้ตามความต้องการหรือไม่ หากรู้สึกว่าช่วงเวลาแสดงเอฟเฟ็กต์นั้นสั้นหรือ นานไป ให้ไปกำหนดระยะเวลาของเอฟเฟ็กต์ (4) เอฟเฟ็กต์บางรายการสามารถปรับแต่งรูปแบบได้ (5) อย่างเช่น เลื่อนภาพจากซ้ายไปขวา จากด้านบนลงด้านล่าง เป็นต้น

กรณีที่ต้องการเห็นภาพของเอฟเฟ็กต์เต็มรูปแบบ (ไม่ใช่ตัวอย่างที่คลิกบนเอฟเฟ็กต์ระหว่างคลิปวีดีโอแล้วคลิก
ปุ่ม Play) ทำดังนี้
1. คลิกบนคลิปวีดีโอก่อนเอฟเฟ็กต์ที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง
2. คลิกปุ่มแสดงตำแหน่งวีดีโอเลื่อนไปยังตำแหน่งเกือบสิ้นสุดคลิป
3. คลิกรายการ Project (ซ้ายมือของปุ่ม Play)
4. คลิกปุ่ม Play
Ulead จะเล่นภาพวีดีโอจากจุดที่กำหนดไว้ไปเรื่อย ๆ ก็จะผ่านช่วงของเอฟเฟ็กต์ เราก็จะสามารถเห็นการทำงาน
ของเอฟเฟ็กต์ว่า ระยะเวลาสั้นหรือนานตรงกับความต้องการหรือไม่ หรือเอฟเฟ็กต์ระหว่างคลิปนั้น เหมาะสมดี
หรือไม่ เมื่อต้องการดูซ้ำอีก ก็ให้ทำตามขั้นตอนที่ 1

Share this:

Twitter
Facebook
Google